วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

TUFทุ่ม 1.8 หมื่นล.ปั๊มธุรกิจ


TUFทุ่ม 1.8 หมื่นล.ปั๊มธุรกิจ 
         TUF รุกตลาดอาหารทะเลแช่แข็งเต็มสูบ อัดงบลงทุนเพิ่มขึ้นเท่าตัวกระตุ้นธุรกิจ ตั้ง
เป้า 3 ปีใช้เงิน 1.8 หมื่นล้านบาท ขยายกำลังการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมดันรายได้ปี 
56 แตะ 4 พันล้านเหรียญ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แถมเตรียมแผนบุกตลาด AEC ในช่วงครึ่งปี
หลัง ขณะที่โบรกฯ ยังเชียร์ซื้อ แม้งบปี 55 ไม่สวย แต่มองอนาคตยังสดใส หลังตลาดทูน่า - กุ้ง
โลกเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว 
        
อัดเงินลงทุน 3 ปี 1.8 หมื่นลบ. 
        นายไกรสร จันศิริ ประธานกรรมการ บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) 
หรือ TUF เปิดเผยว่า บริษัทฯจะใช้เงินลงทุนเพิ่มเฉลี่ยปีละ 6,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2556 -
2558 เพื่อขยายงาน โดยปีนี้จะเน้นการลงทุนในด้านขยายกำลังการผลิต การขยายตลาด และการ
พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น สร้างโรงงานผลิตกุ้งแห่งใหม่ ที่สมุทรสาคร แทนโรงงานเดิมที่ถูก
เพลิงไหม้ ทำให้มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 200 ตัน/วัน จากเดิม 100 ตัน/วัน 
      นอกจากนี้จะเพิ่มโรงงานแซลมอนขึ้นมาใหม่และปรับปรุงของเดิมที่มีอยู่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงิน
ลงทุนประมาณ 3,500 ล้านบาท รวมทั้งจะเริ่มสร้างห้องแช่เย็นใหม่ที่มีความจุประมาณ 2.5-3 
หมื่นตันในประเทศไทย ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปีหน้า เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
         ขณะที่ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปีนี้อยู่ที่ระดับ 4,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเติบโตจากปีก่อนที่มี
รายได้อยู่ที่ 3,441 ล้านเหรียญ โดยเป้าหมายใน 3 ปีข้างหน้า คือปี 2558 จะมีรายได้อยู่ที่ระดับ 
5,000 ล้านเหรียญ ด้านอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ตั้งเป้าอยู่ที่ 16% โดยเป็นระดับที่
ปกติที่เคยแจ้งไว้ แต่อย่างไรก็ดีในช่วงปีก่อน Gross Margin ลดลงเหลือ 13% เนื่อง
จากบริษัทฯประสบปัญหาเรื่องโรคกุ้งระบาดและปริมาณปลาทูน่าลดลงในช่วงไตรมาส 4/5 ปี 55 
          สำหรับที่เข้าไปลงทุนในบมจ.แพ็คฟู้ด ซึ่งทำธุรกิจแปรรูปและส่งออก อาหารทะเล และ
อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง ที่ล่าสุดบริษัทได้เข้าไปถือหุ้นเป็น 54.46% คาดว่าจะรับรู้รายได้ต่อปี
ประมาณ 200-300 ล้านเหรียญสหรัฐ

ไม่หวั่นบาทแข็งกระทบธุรกิจ เหตุมีรายได้เป็นดอลลาร์ 
          นายไกรสร เปิดเผยว่า กรณีค่าเงินบาทแข็งค่ามองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงกับ
บริษัทฯ เนื่องจากรายได้หลักของบริษัทฯมาจากตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยเงินดอลลาร์
ประมาณ 90% ของรายได้ทั้งหมด แต่อย่างไรก็ดีคาดว่าค่าเงินบาทคงไม่แข็งค่ามากไปกว่านี้ 
เนื่องจากรัฐบาลน่าจะมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็ง
ค่า
       ส่วนนายธีรพงศ์  กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท โดยคาดว่าค่าเงินบาท/ดอลลาร์ ในปีนี้จะ
เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 29.50-29.70 บาท/ดอลลาร์ จากราว 31 บาท/ดอลลาร์ในปีก่อน ซึ่งค่าเงินที่
แข็งค่าจะมีผลกระทบต่อบริษัทบ้างแต่ไม่มาก เนื่องจากได้ทำประกันความเสี่ยง อัตราแลกเปลี่ยน
ไว้ราว 50% ขณะที่มีนโยบายจะทำประกันความเสี่ยงไม่เกิน 70% 
ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายเงินปันผลจากการดำเนินงานงวด 6 เดือนหลัง (ก.ค. - ธ.
ค. 55) ในอัตราหุ้นละ 1 บาท และเมื่อรวมกับเงินปันผลที่จ่ายไปแล้วงวด (ม.ค. - มิ.ย. 55) อัตรา 
1.10 บาท ทำให้อัตราเงินปันผลต่อหุ้นของบริษัทฯ ในปี 2555 ที่ 2.10 บาท 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น